สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล
สิ่งมีชีวิตและสัตว์
1.ฟองน้ำทะเล (Marine sponges)
ฟองน้ำฟองน้ำเป็นสัตว์ทะเลประเภทหนึ่งมีเซลล์จัดเรียงตัวกันอย่างหลวมๆสองชั้น รูปร่างมีความต่างกันมาก บางชนิดแผ่คลุมไปบนพื้นหินและซอกปะการัง บางชนิดเป็นรูปเจกันคล้ายครก ขนาดของฟองน้ำมีความแตกต่างกัน บางชนิดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่มีพื้นสภาพต่างกัน
ลำตัวของฟองน้ำนั้นมีรูฟุนขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นช่องให้น้ำไหลเข้าไปในโพรงลำตัวและบุไว้ด้วยกลุ่มเซลล์ที่ทำหน้าที่กินอาหารโดยใช้แส่จับ ฟองน้ำมีลักษณะอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นได้ ภายในลำตัวมีโครงค้ำจุนให้คงรูปร่างอยู่ได้ฟองน้ำอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนีเป็นผลแบบการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยวิธีการแตกหน่อ แล้วหน่อยังคงติดอยู่กับตัวเดิม ทำให้มีสมาชิกหลายตัวอยู่ติดกันแผ่ขยายคลุมพื้นที่กว้างออกไปเรื่อยๆ ฟองน้ำกินอาหารโดยอาศัยระบบท่อน้ำที่ไหลผ่านเข้าไปในโพรงลำตัวและมีเซลล์จับเหยื่อโดยใช้แส่ อาหารที่ปนมากับน้ำได้แก่ สาหร่าย ไดอะตอม โปรโตซัว แบคทีเรีย
ฟองน้ำเป็นสัตว์กลุ่มเดียวที่ไม่มีเซลล์ประสาท ไม่มีอวัยวะหรือโครงสร้างในการรับความรู้สึก การมองเห็น การรับรส กลิ่นเสียง ทั้งยังไม่มีปฎิกริยาตอบสนองใดๆต่อสิ่งกระตุ้นเลย เว้นแต่บริเวณช่องน้ำออกเท่านั้นที่นักชีววิทยาพบว่ามีการหดและขยายบ้างเล็กน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารและน้ำที่ไหลผ่านระบบท่อน้ำ สัตว์ทะเลหลายชนิดอาศัยอยู่กับฟองน้ำ เช่น กุ้ง ปู ไส้เดือนทะเล ดาวเปราะ ปลิงทะเล และจะเก็บกินเศษอาหารที่ติดอยู่ตามผิวลำตัวของฟองน้ำ เพราะฟองน้ำมีเศษอินทรีย์และจุลินทรีย์ติดอยู่ที่ผิวด้านนอก นอกจากนี้ปูบางชนิดยังชอบเก็บฟองน้ำไปแบกไว้บนหลังเพื่อใช้เป็นเกาะคุ้มกันทางด้านหลัง และเมื่อฟองน้ำเจริญต่อไป ก็อาจคลุมตัวปูจนมองไม่เห็นตัวปูจากทางด้านบน
ส่วนสัตว์ที่นิยมกินฟองน้ำเป็นอาหารก็คือทากทะเล ซึ่งฟองน้ำนี้ส่วนมากแล้วไม่มีสัตว์ชนิดใดที่นิยมกินมันเพราะว่าฟองน้ำมีหนามหรือเส้นใยเยอะอีกทั้งยังทีรสชาติที่ไม่น่ากิน อายุของฟองน้ำแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป บางชนิดมีอายุพียงฤดูกาลเดียว บางชนิดอยู่ได้หลายปี
ฟองน้ำส่วนใหญ่ส่วนใหญ่สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแตกหน่อ นอกจากนี้ฟองน้ำยังสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยฟองน้ำแต่ละตัวสร้างเซลล์สืบพันธ์ทั้งเพศผู้และเพศเมีย อยู่ภายในตัวเดียวกันแต่เซลล์สืบพันธุ์ทั้งสองเพศ
2.ขนนกทะเล
ขนนกทะเลจัดอยู่ในกลุ่มซีเลนเตอเรทพวกไฮโตรซัวอาศัยอยู่รวมเป็นโคโลนีที่แตกกิ่งก้านคล้ายกิ่งไม้เล็กๆหรือแตกแขนงคล้ายขนนกตัวขนนกทะเลแต่ละตัวเป็นโพลิปขนาดเล็ก โพลิปจะกินอาหารจำพวกแพลงตอนขนาดเล็กหรืออินทรียวัตถุที่ล่องลอยอยู่ในทะเล ขนาดของขนนกมีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่โคโลนีที่คล้ายกิ่งไม้มีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร อาศัยเกาะอยู่ตามปะการังต่างๆ ขนนกทะเลเป็นสัตว์มีพิษหากสัมผัสกับผิวหนังของเรา จะทำให้เกิดรอยไหม้เป็นผื่นคัน เนื่องจากเข็มพิษจากโพลิปของขนนกทะเลมีน้ำพิษอยู่ด้วย
3.แมงกระพรุน
แมงกะพรุนทั่วโลกมีอยู่ 200 ชนิด เป็นสัตว์มีโพรงในลำตัว ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำส่วนใหญ่ ลักษณะคล้ายก้อนวุ้นเคลื่อนที่ได้ แต่การว่ายน้ำแบบเคลื่อนที่ของแมลงกระพรุนเป็นไปอย่างเชื่อช้าและว่ายไปตามกระแสน้ำสุดแต่คลื่นลมจะพาไป แมงกะพรุนถูกจัดเป็นแพลงตอนชนิดหนึ่งและนับเป็นแพลงตอนขนาดใหญ่ บางตัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 40 เซนติเมตร การที่แมงกะพรุนดำรงชีวิตเป็นแพลงตอนและล่องลอยไปตามคลื่นลมนี้เอง ช่วงฤดูร้อนที่มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าสู่ภาคตะวันออกของอ่าวไทย จึงมีแมงกะพรุนชุกชุมอยู่ตามชายทะเลแถบภาคตะวันออกดังนั้นการเล่นน้ำตามสถานตากอากาศแถบบางแสน พัทยา ระยอง จึงอาจถูกแมงกะพรุนไฟได้ รูปร่างแมงกะพรุนมีลักษณะคล้ายร่ม ทางด้านนอกของร่มเป็นรูปโค้งผิวเรียบ ด้านใต้มีปากอยู่ตรงกลางและมีส่วนยื่นรอบปากออกไป แมงกะพรุนทุกชนิดมีพิษพบมากบริเวณหนวดและส่วนยื่นรอบปาก เมื่อได้รับการกระตุ้นโดยการสัมผัส เข็มพิษจะถูกปล่อยออกมาคล้ายฉมวกพุ่งแทงเข้าไปที่ผิวหนังของเหยื่อหรือศัตรู น้ำพิษที่อยู่ภายในกระเปาะอาจทำให้เหยื่อขนาดเล็กสลบและตายได้ ตามปกติแมงกะพรุนเป็นสัตว์กินเนื้อ อาหารที่กินได้แก่ ปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กที่อาศัยตามผิวทะเลโดยแมงกะพรุนใช้เข็มพิษฆ่าเหยื่อ และรวบจับใส่ปากเข้าไปย่อยภายในท่อทางเดินอาหาร ส่วนกากอาหารที่ย่อยไม่ได้จะถูกคายทางปาก แมงกะพรุนส่วนใหญ่มีเพศแยกกันเป็นตัวผู้และตัวเมีย แต่ต่างจากรูปร่างภายนอกไม่ปรากฏลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจน การผสมพันธุ์เกิดโดยตัวผู้สร้างเสปิร์มส่งออกไปผสมกับไข่ตัวเมีย หรืออาจเป็นการผสมกันภายนอกลำตัว ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเจริญพัฒนาเป็นตัวอ่อน ดำรงชีวิตเป็นแพลงตอนชั่วคราว แล้วจากนั้นจะว่ายไปเกาะพื้นเปลี่ยนรูปร่างเป็นโพลิปสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศด้วยการแบ่งตัวออกเป็นชั้นๆ หลุดไปเป็นแมงกระพรุนตัวเล็กๆแล้วเติบโตเป็นตัวเต็มไว้ในเวลาต่อมา
4.ดอกไม้ทะเล
ดอกไม้ทะเลจะมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก มีหนวดจำนวนมากเรียงรายกันอยู่ด้านบน ส่วนทางด้านล่างเป็นฐานใช้ยึดเกาะติดกับวัตถุใต้น้ำ ขนาดของดอกไม้ทะเลแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันตั้งแต่ตัวเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่าครึ่งเมตร อาหารของดอกไม้ทะเลได้แก่ ปลาหรือสัตว์ทะเลชนิดอื่นที่ว่ายเข้ามาในระยะที่หนวดจับได้ ดอกไม้ทะเลจะปล่อยนีมาโตซีสออกมาทำให้เหยื่อสลบ แล้วรวบเข้าปากที่อยู่ตรงกลาง ดอกไม้ทะเลนั้นจะมีถิ่นที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน บางชนิดที่อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลงจะมีความทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดีทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงความชื้น ความเค็มและอุณหภูมิรวมทั้งความสามารถในการอยู่บนบกได้เป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงขณะที่น้ำทะเลลดลงด้วย เราจึงมักพบดอกไม้ทะเลเกาะอยู่ตามก้อนหินริมชายฝั่งโดยหดตัวเป็นก้อนกลม เพื่อรอให้น้ำทะเลท่วมบริเวณที่อาศัยอยู่อีกครั้งหนึ่ง
ดอกไม้ทะเลบางชนิดมีสาหร่ายอาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื้อทั้งลำตัวและหนวด จึงทำให้มีสีเขียวการอยู่รวมกันนี้ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ เพราะสาหร่ายมีคลอโรฟิลสามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งผลจากการสังเคราะห์แสงนั้นจะได้แป้งและออกซิเจน ดอกไม้ทะเลสามารถนำเอาออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการหายใจ ส่วนสาหร่ายนอกจากจะมีที่อยู่อาศัยแล้ว ยังสามารถนำเอาของเสียจากการขับถ่ายของดอกไม้ทะเลเป็นแร่ธาตุไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต ดอกไม้ทะเลขนาดใหญ่มักเป็นที่อยู่อาศัยของปลาการ์ตูนและปลาอินเดียแดงและปลาสลิดหินหลายชนิด เพราะหนวดของดอกไม้ทะเลมีพิษนีมาโตซีสใช้ฆ่าเหยื่อหรือศัตรูได้ ยกเว้นปลาที่อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลเท่านั้นที่สร้างเมือกออกมาคลุมลำตัว สามารถป้องกันพิษจากดอกไม้ทะเลได้
ดอกไม้ทะเลบางชนิดอาศัยอยู่กับปูเฉฉวนหรือปูป้ เป็นความสัมพันธ์อย่างหนึ่งที่ปูยอกให้ดอกไม้ทะเลเกาะอยู่บนหลัง ดอกไม้ทะเลจะทำหน้าที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยด้านหลัง เพราะสัตว์ผู้ล่ามักไม่กล้าเข้าใกล้ดอกไม้ทะเล ทำให้ปูปลอดภัยส่วนดอกไม้ทะเลได้รับประโยชน์ในการย้ายที่อยู่เพื่อหาอาหาร และหลีกเลี่ยงจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ดอกไม้ทะเลมีการสืบพันธุ์ได้สองวิธีคือ แบบไม่อาศัยเพศโดยการแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสองตามความยาวจากฐานหนวดลงไปยังฐานยึดเกาะด้านล่างและการสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ โดยดอกไม้ทะเลบางชนิดมีสองเพศอยู่ภายในตัวเดียวกัน หรือแยกเป็นตัวผู้และตัวเมีย
5.ปากกาทะเล
มีลักษณะใกล้เคียงกับปะการังอ่อน ปากกาทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนีเช่นเดียวกับกัลปังหาและปะการังอ่อน ด้านล่างเป็นด้ามใช้สำหรับฝังลงในพื้นทะเลที่เป็นดินโคลน หรือโคลนปนทราย ส่วนบนที่อยู่ของโพลิบรูปร่างเป็นทรงกระบอก สามารถยืดหดตัวจากเนื้อเยื่อของโคโลนีเพื่อจับเหยื่อ แต่ละโคโลนีมีโพลิปหรือตัวปากกาทะเลนับร้อยตัว
ปากกาทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลโดยเฉพาะบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลผ่านเพราะโพลิปจะได้รับแพลงตอนที่พัดพากับกระแสน้ำและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ปากกาทะเลมีคุณสมบัติพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการเรืองแสงได้ในที่มืด การเรืองแสงอาจเกิดเป็นบางส่วนหรือเกิดพร้อมกันทั้งโคโลนีก็ได้ ด้วยเหตุนี้ท้องทะเลบางพื้นที่ที่มีปากกาทะเลอาศัยอยู่ จึงอาจมีแสงเรืองคล้ายไฟใต้น้ำส่องสว่างด้วย ปากกาทะเลนั้นไม่สามารถนำมาบริโภคได้จึงถูกนำไปทำอาหารสัตว์ปะปนกับปลาเป็ด
6.ลิ่นทะเล
ลิ่นทะเลเรียกอีกอย่างว่า “หอยแปดเกล็ด” จัดเป็นสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่มหรือมอลลัสเช่นเดียวกับหอยและหมึกทั่วไป รูปร่างคล้ายกับทากดิน ไม่มีส่วนหัวและห่างที่ชัดเจนลำตัวเป็นรูปไข่ ด้านบนโค้งนู้น และมีเปลือกคล้ายเกล็ดจำนวน 8 แผ่นเรียงซ้อนกันจากด้านหน้าไปยังด้านท้ายคล้ายกระเบื้องมุงหลังคายกเว้นบางชนิดเกล็ดอาจเรียงต่อกันเป็นแถวๆรอบๆเกล็ดเป็นแมนเทิลที่ปกคลุมด้วยหนามสั้นๆ ด้านล่างตรงกลางมีกล้ามเนื้อเท้ารูปไข่เป็นพื้นแบนเรียบช่วยในการเคลื่อนที่ ปากของลิ่นทะเลอยู่ด้านหน้า ภายในปากมีแผ่นลิ้นใช้ในการขูดสาหร่าย ไลเคนซ์กินอาหาร ที่อยู่ของลิ่นทะเลสามารถพบได้ตามโขดหินริมชายฝั่งทะเลและรอบเกาะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น